วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556
วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556
กุ้งทองไคโตซาน(ใช้กับนก) คุณวัฒนชัย (คุณบอย) ได้รับถ้วยรางวัลพระราชทาน ณ.สนามสามพรานปีล่าสุด
Presenter คุณวัฒนชัย (คุณบอย) ในนิตยสารนกแข่งเล่มล่าสุด ได้รับถ้วยรางวัลพระราชทาน ณ.สนามสามพรานปีล่าสุด โดยใช้ ผลิตของบริษัท เรา(กุ้งทอง)— ที่ สนามสามพาน รีเวอร์ไซต์ (สวนสามพราน)
วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556
เพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังด้วย "กุ้งทองไคโตซาน"
เรื่อง : ทิวไผ่
ในขณะที่เกษมทำไร่มันสำปะหลังไปนั้นในไร่มันจะมีพื้นที่ว่างระหว่างร่องมันเขาจะนำแตกโม และ ข้าวโพดไปปลูกแซมในช่วง 3-4 เดือนแรกมันจะยังไม่โตเท่าไร จึงทำให้มีการจัดการได้ง่าย ในทางกลับกันทำให้ใช้พื้นที่สร้างรายได้ได้มากที่สุดอีกด้วย
ในสภาวะเศรษฐกิจข้าวยาก
หมากแพงเช่นทุกวันนี้ เกษตรกรต้องส่ายหัว เพราะราคาปัจจัยการผลิตได้ถีบตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
ทำให้เกษตรกรตาดำๆยิ่งทำมาหากินได้ยากขึ้น
นอกจากนั้นราคาผลผลิตก็ยังคงเป็นอะไรที่ยังไม่ดึงดูดใจให้ใครกล้าทุ้มทุนหาสิ่งต่างๆมาพัฒนาผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น
เพราะพวกเขาคิดว่าเป็นการเพิ่มต้นทุนไปโดยป่าวประโยชน์
การที่เกษตรกรจะมีแนวคิดเช่นนั่นอาจจะไม่ผิด เพราะสถานการณ์ “การส่งออกมันสำปะหลังของบริษัทสัญชาติไทย
ยังคงวิ่งตามหลังผู้ส่งออกสัญชาติจีนอยู่หลายเท่าตัว”
กลับมามองในมุมของผู้ผลิต
แม้หลายคนจะ “ละเหี่ยใจ” กับราคาซื้อขายผลผลิต ล่าสุดผู้ที่ในวงการมันสำปะหลังจังหวัดนครราชสีมาเผยว่าราคามันสดตอนนี้ราคาอยู่ที่
2.50 บาทต่อกิโลกรัม ที่เปอร์เซ็นแป้ง 25% ราคามันแห้งที่ 6 บาทต่อกิโลกรัม หากแต่ก็ยังคงมีคนยังตั้งหน้าตั้งหากลยุทธ์ในการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ภายใต้ต้นที่ต่ำลงทุกปี
เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2556
ที่ผ่านมาผู้เขียนได้เดินทางมุ่งหน้าไปยังจังหวัดนครราชศรีมาเพื่อนำข้อมูลของผู้ปลูกมันสำปะหลังท่านหนึ่งมาฝาก
ประเด็นที่น่าจับตามองนั่นคือแนวทางในการจัดการไร่ที่เขาได้ใส่รายละเอียดต่างๆลงไปพลิกฟื้นพื้นที่ให้มีชีวิตชีวาทำให้ปลูกมันสำปะหลังได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นทุกปี
ยกระดับฐานะทางการเงิน และ ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
เกษม บุญลือ และ ภรรยา
มีพื้นที่ทำเกษตรเริ่มต้นเพียง 8
ไร่เมื่อ 3
ปีที่แล้วที่ผู้เขียนเคยเดินทางไปเยี่ยมเยือนแล้วหนหนึ่ง
ครานั้นเขาเคยเล่าให้ฟังว่าในพื้นที่ 8 ไร่ปลูกทั้งมันสำปะหลัง
ปลูกทั้งข้าวโพด หาแต่ผลผลิตมันสำปะหลังที่ได้จะอยู่ที่ประมาณ 2-3 ต่อไร่นั้น ซึ่งส่วนใหญ่ชาวไร่มันเขตนั้นก็จะได้ประมาณนี้ทั้งนั้น อีกทั้งเพลี้ยแป้งกำลังระบาดด้วย
“ย้อนไปเมื่อเกือบ
4 ปีที่แล้ว เริ่มแรกตอนที่ผมก็ยกร่องปลูกธรรมดานี้แหล่ะ
ลงทุนก็ไม่แพงเพราะปัจจัยการผลิตยังมีราคาถูกอยู่ ปุ๋ยก็กระสอบละ 300-500 บาท แต่ตอนนี้แพงขึ้นปุ๋ยกระสอบละ 1,000 ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
ผลผลิตที่ได้คือไร่ละ 2 ตัน นี้คือเต็มที่แล้ว เมื่อก่อนก็ทำกันแบบนี้หละ
แต่มันไม่ถูกวิธี และไม่มีใครมาแนะนำ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทำไปตามความคิดของตัวเอง
ระยะปลูกยกร่องเพียง 40 เซนติเมตร แต่ไม่รู้ว่า
1 ไร่ ปลูกได้กี่ต้น
เรื่องต้นพันธุ์ก็ยังไม่รู้เรื่องเลย ไม่มีการคัดใดๆทั้งสิ้น ทำตามวีถีชาวบ้าน
เรื่องหนี้สินก็กู้กับนายทุนที่อยู่ภายในหมู่บ้านดอกเบี้ยร้อยละ
3 ตอนนั้นเป็นหนี้อยู่ 3 หมื่นบาท
เมื่อขายมันได้ก็เอาไปคืนแล้วก็กู้มาใหม่อยู่เรื่อยๆ เพื่อมาลงทุนอีก
กู้แบบนี้อยู่เรื่อยๆหมุนเวียน พอให้เขาได้เห็นเงินแล้วก็กู้ออกมาลงทุนใหม่
แต่ไม่ได้อะไรเลยนะ และต้องใช้ดอกด้วย ทรัพย์สินที่มีในตอนนั้นก็คือมอเตอร์ไซคันเก่าๆอยู่
1 คัน แล้วเมื่อก่อนความเป็นอยู่ก็จนมากๆ
ต้องทำงานรับจ้างทุกอย่าง เคยเข้ากรุงเทพฯทำงานก่อสร้างเหนื่อยมาก หลังจากที่ปลูกมันเสร็จก็ต้องหาอาชีพเสริมจะอยู่เฉยไม่ได้
เพราะรายจ่ายมันเยอะมาก ต้องดิ้นรนทุกอย่าง”
ต่อมาเขาได้เริ่มแก้ไขรูปแบบการทำไร่อ้อยด้วยวิธีการหาแนวทางกำจัดเพลี้ยแป้ง
เกษมได้นำเอารูปแบบ “พิมายโมเดล” มาเป็นแนวทาง ซึ่งปีแรกในการเข้าระบบพิมายโมเดลเกษมได้ปลูกมันไปแล้ว 5เดือน
จึงทำให้ประสิทธิผลที่ได้รับจึงไม่เต็มร้อยเท่าไร
อีกทั้งเพลี้ยแป้งได้กัดกินดูดน้ำเลี้ยงไปค่อนข้างมากแล้วด้วย เขาเล่าให้ฟังต่อว่าเคยมีตัวแทนจำหน่ายตัวยาต่างๆมาแนะนำให้ใช้ยาหลากหลายชนิดเช่นกัน
แต่มันก็ไม่ได้ผลเท่าไร
“พอผมคิดที่จะเปลี่ยนรูปแบบการทำแบบใหม่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเปลี่ยนดีหรือเปล่า
เดี๋ยวก็เอาอันนั้นมา อันนี้มาให้ฉีด ก็ทำอยู่อย่างนั้นก็ไม่โต ไม่งามซักที
ปีแรกก็ไม่โต เราก็เริ่มกลุ้มใจนิดๆ ว่าคงโดนหลอกแล้ว แต่พอได้รู้จักเฮียชัชพงษ์ จึงเริ่มมาทำร่องแบบใหม่อย่างที่เห็นคือ
ปลูกแบบสลับฟันปลา ตามแนวที่เขาบอก ทำตามพิมายโมเดลปีแรกก็ประมาณ 50% เพราะผมยังลังเล จะถอยหรือเดินต่อยังไม่แน่ใจ
ขุดหัวมันมาปีแรกได้ 25 ตันต่อ 8 ไร่ และมันที่ได้มาก็หัวไม่สวยเลย”
เกษมได้เริ่มต้นทำมันสำปะหลังรูปแบบใหม่หลังจากได้ทดลองตามแบบพิมายโมเดลที่ได้รับคำแนะนำจากคุณชัชพงษ์
หากแต่ในครั้งแรกเขายังคงไม่กล้าที่จะทดลองอย่างเต็มร้อยเท่าไรผลผลิตจึงได้เฉลี่ยเพียง
3 ตันต่อไร่
ในปีต่อมาเขาได้ทดลองทำไร่มันในรูปแบบพิมายโมเดลเต็มรูปแบบ
แผนพัฒนาและเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลัง
พิมายโมเดล เป้าหมาย 3
ปี (เปลี่ยนพันธุ์ปลูกทุกปี)
1.หลังจากสำรวจพบว่าบ่อยครั้งที่ปลูกไปเพียง 3-5 เดือน แต่โดนเพลี้ยแป้งเข้าทำลายจนได้ไถทิ้งอย่างเดียว
เท่ากับว่าเกษตรกรรายนั้นเทียบเท่ากับการอยู่ชั้น อนุบาล
2.เกษตรกรที่ไร่มันสำปะหลังมานานแต่ได้ผลผลิตเฉลี่ย 3-4 ตัน/ไร่ เทียบเท่ากับอยู่ชั้น ประถม
3.เกษตรกรที่ไร่มันสำปะหลังมานาน
ได้รับปริมาณน้ำตามธรรมชาติ แต่ได้ผลผลิตเฉลี่ย 5-9 ตัน/ไร่
เทียบเท่ากับอยู่ชั้น มัธยม
4.เกษตรกรที่ไร่มันสำปะหลังโดยมีการวางระบบน้ำพุง
แล้วในปีแรกได้ผลผลิตเฉลี่ย 10-15 ตัน/ไร่
เทียบเท่ากับอยู่ชั้น ปริญญาตรี
5.เกษตรกรที่ไร่มันสำปะหลัง
มีการวางระบบน้ำพุ่งได้ผลผลิตในปีแรกและปีต่อไปเฉลี่ย 16-24 ตัน/ไร่
เทียบเท่ากับอยู่ชั้น ปริญญาโทร
6.เกษตรกรที่ไร่มันสำปะหลังมีการวางระบบน้ำพุ่งได้ผลผลิตในปีแรกและปีต่อๆไปเฉลี่ย
25-30 ตัน/ไร่ เทียบเท่ากับอยู่ชั้น ปริญญาเอก หรือเป็นด็อกเตอร์ได้เลย
7.เกษตรกรที่ไร่มันสำปะหลังมีการวางระบบน้ำพุ่งได้ผลผลิตในปีแรกและปีต่อๆไปเฉลี่ย
30-50 ตัน/ไร่ เทียบเท่ากับเป็น ศาสตราจารย์
แผนพัฒนานี้เริ่มจากการวัดระดับชั้น
แล้วจะช่วยให้มองเห็นพัฒนาการของเกษตรกรได้ง่ายขึ้น และได้เริ่มต้นการปรับปรุงแก้ไขได้ตรงระดับความเชี่ยวชาญของแต่ละคน
จะสังเกตได้ว่าจะไม่ได้บอกว่าต้องทำให้ได้เท่าไรต่อไร่ แต่จะเน้นที่จะให้เพิ่มผลผลิตต่อยอดจากที่ทำอยู่
เมื่อเกษตรกมองเห็นปัญหาต่อผลผลิตแล้ว
ก็เข้าสู่แนวทางการพัฒนาผลผลิตต่อไร่ตามลำดับดังนี้
การเตรียมพื้นที่
เกษตรกรควรยอมเสียเวลาหันมาใส่ใจเกี่ยวกับดินภายในแปลงปลูกของตัวเองเสียก่อน
เพราะเป็นการเริ่มต้นเพื่อพัฒนาให้ได้ผลผลิตที่มากขึ้น
โดยโครงสร้างดินที่สมบูรณ์ควรมีน้ำ 25% อากาศ 25% แร่ธาตุอาหาร 45%
และ อินทรีวัตถุ 5%
มีการปรับสภาพพื้นที่ให้เหมาะสม
โดยการไถระเบิดดินดานด้วยผาน 3
อย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง และมีการนำดินไปตรวจค่า PH แล้วปรับค่าให้เป็นกลางที่ประมาณ 6.5-7 ทุกปีหลังการเก็บเกี่ยว
มีการปรับปรุง บำรุงดิน ไม่ว่าจะเป็นการใส่ขี้ไก่แกรบ ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักก็ได้
เพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุลงในดิน จากนั้นไถพรวนให้หน้าดินละเอียดเตรียมปลูก
และเป็นการคลุกเคล้าปุ๋ยอินทรีย์ต่างๆให้เข้ากับดินในแปลง
ควรเลือกฤดูปลูกเป็นช่วงต้นฝน เพราะดินมีความชื้นสูงจะช่วยให้การเจริญเติบโตได้ดี
หากต้องการปลูกในช่วงฤดูแล้งเกษตรกรควรมีการวางระบบน้ำ
หรือเลือกสรรใช้นวัตกรรมใหม่ที่มีประสิทธิภาพ
เกษมบำรุงดินด้วยการนำ
“ถ่าน และ แกลบดำ” มาผสมด้วยในแปลงปลูกด้วย ไม่ฉีดพ่นสารเคมี
การควบคุมกำจัดวัชพืชก็จะใช้สารอินทรีย์ฉีดพ่นลงไปเพียง 2 ปี หลังจากนั้นก็ยังไม่ได้ฉีดพ่นอีกเลย อาจจะมีบ้างเล็กน้อยหากแต่เจ้าตัวเข้าจะเข้ามาเดินดูแปลงทุกวันก็จะถอดออกเอง
เกณฑ์ทหารท่อนพันธุ์
ด้วยการคัดต้นพันธุ์ ที่สมบูรณ์แข็งแรง
ส่วนหนึ่งทำให้ผลผลิตต่อไร่ต่ำมาจากการคัดเลือกต้นพันธุ์ที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน
ทั้งนี้ควรจะเลือกต้นพันธุ์ที่มีอายุระหว่าง 8-12 เดือน ควรเป็นต้นพันธุ์ที่เก็บรักษาไว้หลังจากตัดประมาณ 15-30 วัน ก่อนนำมาตัดเป็นท่อน เมื่อได้ต้นพันธุ์แล้วนำมาตัดเพื่อทำเป็นท่อน
โดยใช้เลื่อยตัดโคนออกประมาณ 20 เซนติเมตร
แล้วเป็นท่อนๆความยาวประมาณ 15 เซนติเมตร 1 ต้นพันธุ์จะตัดทำท่อนพันธุ์ประมาณ 3 ท่อน หรือสังเกตที่ไส้กลางลำต้นกับเนื้อต้องเท่าๆกัน
หรือ 1 ต่อ 1
ซึ่งจะเรียกว่าเป็นมันหนุ่ม สาว
สำหรับส่วนยอดขึ้นมาที่ยังเขียวอยู่เรียกว่ามันอ่อนหากตัดทำเป็นท่อนพันธุ์แล้วนำไปปลูกจะทำให้การเจริญเติบโต
และการให้ผลผลิตไม่ดีเท่าที่ควร
นำท่อนพันธุ์ที่ผ่านการคัดเรียบร้อยแล้วไปแช่ในน้ำยาเร่งรากประมาณ
1 ชั่วโมง จากนั้นนำขึ้นมาใส่ถุงปุ๋ยบ่มไว้ 1 คืนแล้วนำไปปลูกในแปลงที่เตรียมไว้ได้ทันที
ปลูกแบบไม่ยกร่อง
และสลับฟันปลาเป็นการเพิ่มพื้นที่การเติบโตของหัวมันได้ดี
ในการปลูกมันสำปะหลังแบบไม่ยกร่องส่วนใหญ่เกษตรกรจะขึงเชือกที่ผูกปมไว้ห่างกันตามระยะปลูกที่ต้องการขั้นต่ำประมาณ
1 เมตร
ความห่างของแต่ละร่องปลูกประมาณ 1.20 เมตร
นำต้นพันธุ์ปักลงตรงปมที่ผูกไว้ลึกประมาณ 8 เซนติเมตร
แบบสลับฟันปลา
เมื่อปลูกไปได้ประมาณ 25-30 วัน
ฉีดพ่นปุ๋ยอินทรีย์ทางใบ 20 วันต่อครั้ง จนกระทั้งอายุประมาณ 60
วัน ให้เปลี่ยนมาฉีดพ่นเข้าที่โคนต้น
“ปีที่ผ่านมาพันธุ์มันที่ผมนำมาปลูกยังไม่ได้คัดเลือกสายพันธุ์
ยังมีสายพันธุ์อื่นมาผสมด้วยก็ยังได้ผลผลิต แต่ถือว่าดีพอสมควร
การเปลี่ยนแปลงจากวันนั้นจนถึงวันนี้ เริ่มจากสิ่งแรก คือ ดินจากที่เคยแข็งมากๆ
ก็กลับมาร่วนซุย จากการเอาถ่าน เอาแกลบ เอาปุ๋ยปลา หรือเอาอินทรีย์มาใส่ มันคือองค์ประกอบทั้งหมดที่ทำให้ดินดีขึ้น
ปีแรกปีสองอาจจะยังไม่ค่อยเห็นเท่าไร
แต่หลังจากนั้นมาจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน
ความรู้สึกวันแรกที่ยังไม่ได้ทำวิธีนี้ก็ไม่อยากเดินมาในไร่เลย
ทุกวันนี้อยากเข้ามาอยู่เรื่อยๆ เพราะทุกอย่างมันดีขึ้นมันมีกำลังใจมากขึ้น
สภาพของดินก็ดีขึ้นมาก สามารถเอามือโกยได้โดยไม่ต้องใช้จอบ เวลาขุดมันยิ่งง่ายมาก
หัวไม่หักไม่ขาด เวลาจ้างคนงานเขาก็อยากมาทำให้ คือ ทำให้ทำงานง่าย
ผมมองว่าวิธีการทำไร่มันสำปะหลังเมื่อก่อนมันเป็นวิธีแบบชาวบ้านๆ
ไม่ได้มีการพัฒนาปรับปรุงอะไรเลยโดยเฉพาะเรื่องของดิน และ
สายพันธุ์ที่นำมาปลูกในพื้นที่เดิมๆ จึงทำให้ได้ผลผลิตไม่ค่อยดี แต่ตอนนี้มันเป็นระบบวิธีใหม่แล้ว
ผมเก็บผลผลิตได้มากขึ้นทุกปีอย่างน้อยเพิ่มขึ้นปีละ 10 ตัน ทั้งๆที่พื้นที่ของผมมีอยู่เท่าเดิม”
ใครจะคิดได้ว่าการนำ
“เศษถ่าน” มาใส่ในแปลงจะช่วยให้สภาพดินดีขึ้นได้ นอกจากดินที่ความร่วนซุยขึ้นแล้ว
เศษถ่านเหล่านั้นยังเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าจุลินทรีย์ต่างๆอีกด้วย ในเรื่องของดินที่เปลี่ยนไปในแต่ละปีเกษมเล่าให้ฟังว่า
เขานำปุ๋ยคอก อย่าง ขี้วัว มาใส่ปีเว้นปี พร้อมทั้งฉีดพ่นปุ๋ยปลาไปด้วย
จนปัจจุบันนี้เจ้าตัวถึงกลับออกปากว่าจะหยุดใช้ไปก่อนเพราะดินดีมากแล้ว ถือว่าเป็นการลดต้นทุนได้ไปในตัว
ในพื้นที่
8 ไร่ เขาจะแบ่งโซนปลูกไว้ อย่าง
แปลงฝั่งขวาจะปลูกสายพันธุ์มังกรหยก เกษตรศาสตร์ ฝั่งขวาจะปลูกห้วยบง 60 และ ห้วยบง 80 เป็นต้น
นั่นก็เพื่อต้องการที่จะทดลองว่าสายพันธุ์ใดเหมาะกับพื้นที่มากที่สุด
“ทดลองมาหมดแล้วครับ
คือเราไม่ยึดติดกับพันธุ์ใดพันธุ์หนึ่ง เราจะปลูกหลายๆพันธุ์หมุนเวียนกัน
จนได้อันที่ดีที่สุด สลับกันไป ปีนี้ฝั่งนี้เอาพันธุ์นี้ ปีหน้าเอาพันธุ์นี้ แต่ก่อนเราก็ไปซื้อเขา
แต่ตอนนี้เราไม่ต้องไปซื้อที่ไหนแล้วเรามีพันธุ์เองตลอด หัวมันดี ใหญ่ ยาว
น้ำหนักดี อายุเท่ากัน ใส่ปุ๋ยเท่ากัน
แต่มังกรหยกดีกว่า สู้มังกรหยกไม่ได้ ทั้ง 10 ชนิดไม่ว่าจะเป็น เกษตรศาสตร์ 1-2 ห้วยบง 60,80
ก็สู้มังกรหยกไม่ได้ เกร็ดมังกรก็สู้ไม่ได้”
ตลอด
3-4 ปีที่ผ่านมาเกษมและภรรยาจะเข้ามาดูแปลงปลูกกันทุกวัน
เพื่อสังเกตการณ์เจริญเติบโต ทั้งสองต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า
เมื่อเห็นว่ามันในไร่โตดี ไม่มีโรคและแมลงมันก็ชื่นใจ
มีกำลังใจที่จะพัฒนาต่อไปเรื่อย สำหรับเรื่องเพลี้ยแป้ง หรือ โรคแมลงก็ถือว่าไม่มี
หากแต่ในข้างๆโดนเพลี้ยแป้งลงเสียหายไปก็มาก เคล็ดลับการป้องกันเพลี้ยแป้งระบาดในไร่นั่นเกษมบอกว่าเป็นเพราะเขาได้สร้างภูมิคุ้มกันให้ตั้งแต่เล็ก
ไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือกต้นพันธุ์ การแช่ปุ๋ยอินทรีย์ เป็นต้น มันสำปะหลังที่ปลูกจึงแข็งแรงไม่มีโรค
แมลงมาทำอันตรายไม่ได้ นอกจากนั้นเขายังยืนยันต่ออีกว่าที่ผ่านมา ไม่เคยเจอการระบาดของเพลี้ยแป้งเลย
ในระยะเวลา
3-4 ปี เกษมได้เริ่มเดินทางเข้าสู่การทำ “มันอินทรีย์”
เต็มตัวแล้วเพราะในกระบวนการจัดการทุกอย่างตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการเก็บเกี่ยวไม่มีการนำเคมีมาใส่เลยไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี
หรือ แม้แต่สารกำจัดวัชพืช
“สำหรับเพลี้ยแป้งตอนนี้ในไร่ผมก็มีนะแต่ไม่เยอะ
เรื่องดินก็ดีแล้ว รับรู้เรื่องสายพันธุ์มากขึ้น มีการนำสายพันธุ์ใหม่ๆเข้ามาด้วย
พันธุ์ที่ได้ทดลองช่วง 1-2 ปี
ก็คือพันธุ์ห้วยบง 80 แต่ตอนนี้ก็เพิ่งเอามังกรหยก
และเกร็ดมังกร เข้ามา เพราะว่าพันธุ์พวกนี้จะสู้มังกรหยกไม่ได้
สุดยอดเลยดีมากสำหรับในพื้นที่ตรงนี้ จะในประเทศไทยก็ดีมาก ยกให้มังกรหยกดีที่สุด ตอนนี้เฮียชัชพงศ์บอกว่าถ้าใครทำมันได้เพิ่มขึ้นปีละ
10 ตันจะออกเกียรติบัตรให้ จะตั้งเป็นมหาวิทยาลัยชีวิตชาวไร่”
ในขณะที่เกษมทำไร่มันสำปะหลังไปนั้นในไร่มันจะมีพื้นที่ว่างระหว่างร่องมันเขาจะนำแตกโม และ ข้าวโพดไปปลูกแซมในช่วง 3-4 เดือนแรกมันจะยังไม่โตเท่าไร จึงทำให้มีการจัดการได้ง่าย ในทางกลับกันทำให้ใช้พื้นที่สร้างรายได้ได้มากที่สุดอีกด้วย
“ปีแรกผมเก็บขายแตงโมขายได้
2 หมื่นบาท ปีที่ 2 ก็ได้ประมาณ
3 หมื่น และก็ปีที่แล้วได้ 4 หมื่นบาท
แต่ปลูกไม่เต็มพื้นที่นะ ผมได้ผลผลิตแต่เพิ่มขึ้นทุกปีด้วยไม่ใช้ได้แต่มันสำปะหลัง
แต่ปีนี้ปลูกเต็มพื้นที่เลยน่าจะได้เยอะนะ แต่ก็ไม่แน่ใจ ปลูกแตงประมาณ 2 เดือนหรือ 68 วัน ครึ่ง
พอเสียบมันเสร็จก็เริ่มหยอดแตงเลย เรื่องทุนสำหรับแตงโมก็คือ ซื้อเมล็ดพันธุ์ 1,500
บาท สำหรับทุนด้านปุ๋ยยานี้แต่จะได้รับอานิสงค์จากที่เรามาฉีดพ่นยาให้มันสำปะหลัง
แตงโมก็ได้กินด้วย
ผลผลิตมีการพัฒนานาขึ้นเรื่อยๆ และแต่ก่อนทำแล้วก็ไม่รู้จะไปขายที่ไหน
ไม่มีใครมากินที่สวนเลย คนขับรถผ่านไปผ่านมา พอเขารู้ว่าใช้สารเคมีนะเขาก็ไปเลย
ไม่ลงมาซื้อ แต่หลังทำมันระบบพิมายโมเดล ซึ่งเป็นอินทรีย์
แตงโมเราก็เลยเป็นอินทรีย์ไปด้วย
ผมเก็บขายที่หน้าแปลงนี้เลยโชคดีที่อยู่ติดกับถนนด้วย ก็ขายตรงนี้เลยขายดีจนให้เขามาเก็บเองเลยเราไม่ไหวขายดีมาก
ลูกใหญ่ก็ 30 บาท
ถ้าซื้อเป็นคู่ก็ขายที่ 50 บาท ส่วนที่เหลือก็ขายเป็นถุงๆละ 20
บาท
นอกจากนั้นก็ปลูกข้าวโพดด้วยมีไม่ถึงไร่เก็บขายก็ได้อยู่ประมาณ
1 หมื่นบาท ทำให้ผมมีรายได้ขึ้นดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ
ผมสามารถปลดหนี้ได้หมดแล้วในปีนี้ ได้ต่อเติมบ้านไปอีก 6-7 หมื่น
ใช้เงินจากการปลูกมันนี่แหล่ะ ไม่ได้กู้ รถไถก็ซื้อสด 4 หมื่นบาท
ก็ถือว่าดีแล้ว ติดจานดาวเทียมด้วย ทุกอย่างสบายเลย เงินไม่ขาดกระเป๋า
ถึงจะมีไม่เยอะ”
เกษมและภรรยาให้ข้อมูลเรื่องราวความเป็นมาในการทำไร่มันสำปะหลังในพื้นที่เพียง
8 ไร่
แต่ทำให้เขามีเงินใช้มากขึ้นอย่างไม่ขาดมือนั่นอาจเป็นเพราะมีความเข้าใจในหลังการทำเกษตรแล้วว่าควรเริ่มที่จะปรับปรุงแก้ไข
และ พัฒนาส่วนใดบ้าง
พร้อมทั้งใช้พื้นที่เกษตรของตนเองได้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์ที่สุด
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
หรือ เข้าเยี่ยมชมแปลงปลูกที่ อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ติดต่อเข้าไปที่ คุณเกษม
บุญลือ โทร.08-2863-1043
ข้อมูลจาก นิตยสารพืชพลังงาน ฉบับที่ 63
วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)